
ทำหมันนั้น สำคัญไฉน
หากเราเลี้ยงสุนัขหรือแมวหลายตัว โดยเฉพาะถ้ามีทั้งตัวผู้ และตัวเมียอยู่รวมกันแล้ว การมีลูกหมาลูกแมวเพิ่มขึ้นในบ้าน ก็อาจเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ และถ้าหากมีหลายครอกเราก็อาจเลี้ยง หรือจำหน่ายจ่ายแจกไม่ไหว
การพาสุนัขและแมวไปทำหมันอาจเป็นคำตอบในเรื่องการควบคุมประชากรสัตว์เลี้ยงในบ้าน นอกจากจะเป็นการป้องกันไม่ให้มีลูกสุนัขลูกแมวเกิดมามากจนเกินไปแล้ว ยังมีประโยชน์ในการลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของการเป็นสัด ทำให้สุนัข และแมวตัวผู้ ไปเที่ยวนอกบ้านน้อยลง พฤติกรรมก้าวร้าว การต่อสู้แย่งชิงตัวเมียลดลง และที่สำคัญลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง หรือความผิดปกติเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งที่ผนังช่องคลอดในเพศเมีย และมะเร็งอัณฑะ มะเร็งต่อมลูกหมากในเพศผู้
สุนัขตัวเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ พร้อมมีลูกตอนอายุประมาณ 6 เดือน และสุนัขตัวผู้ 10 เดือน ในสุนัขตัวเมียจะเป็นสัดทุก 6 เดือน หมายความว่า สุนัขเพศเมีย 1 ตัวจะคลอดลูกได้ 2 ครอก ต่อปี โดยลูกสุนัขแต่ละครอกจะมีได้ตั้งแต่ 0 -12 ตัว ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และความสมบูรณ์ของสุนัข
ในแมวตัวเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์พร้อมมีลูกตอนอายุประมาณ 4 -12 เดือน แมวตัวตัวผู้ 6 -12 เดือน ในแมวตัวเมียจะเป็นสัดได้หลายครั้งต่อปี เนื่องจากประเทศไทยมีแสงเพียงพอ มีช่วงระยะเวลากลางวันที่ยาวนาน ดังนั้นแมวจึงตั้งท้องได้หลายครั้งต่อปี
วิธีการทำหมันทั้งในเพศเมีย และเพศผู้ ต้องมีการวางยาสลบทั้งตัว โดยในสุนัข เพศผู้ พันธุ์เล็ก (น้ำหนักน้อยกว่า 20 กิโลกรัม) สามารถพาไปทำหมันพาได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน พันธุ์ใหญ่ (น้ำหนักมากกว่า 20 กิโลกรัม) เริ่มทำหมันได้ตั้งแต่อายุ 9 -15 เดือน ส่วนสุนัขเพศเมีย พันธุ์เล็ก (น้ำหนักน้อยกว่า 20 กิโลกรัม) สามารถทำหมันได้ตั้งแต่อายุ 5- 6 เดือน พันธุ์ใหญ่ (น้ำหนักมากกว่า 20 กิโลกรัม) เริ่มทำหมันได้ตั้งแต่อายุ 5 -15 เดือน และในแมวสามารถพาไปทำหมันได้ตั้งแต่อายุ 5 เดือนทั้งตัวผู้ และเมีย หลังทำหมันแล้วในช่วงแรก สุนัขและแมว อาจยังมีพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศอยู่บ้าง เนื่องจากยังมีฮอร์โมนหลงเหลืออยู่ในร่างกาย

https://stlouiscatclinic.com/what-is-the-best-age-to-spay-or-neuter-a-kitten/
สำหรับการดูแลสุนัขและแมวที่ทำหมันแล้ว เนื่องจากส่วนใหญ่สุนัขและแมวที่ทำหมันแล้ว กิจกรรมในชีวิตประจำวันของสัตว์เลี้ยงจะลดลง ทำให้ร่างกายการใช้พลังงานลดลง การเลี้ยงดู หลัก ๆ ต้องปรับอาหาร ทั้งปริมาณอาหารที่ให้ และชนิดของอาหารให้มีพลังงานลดลง และคุณค่าทางโภชนการเพียงพอ กระตุ้นให้มีกิจกรรมเพิ่มขึ้น ที่สำคัญอย่าลืมเตรียมน้ำสะอาดตั้งไว้ให้เพียงพอตลอดเวลา